อนาคตโคขุนภาคใต้ …จากเวทีประชุมจัดโดย ธกส. 11 กุมภาพันธ์ 2568 นครศรีธรรมราช
ณรงค์ คงมาก รายงาน
สมาคมการค้าเกษตรกรและห่วงโซ่อุปทานเกษตรกรรมไทย (สกอท.)
การประชุมภายใต้ชื่อว่า “โครงการเชื่อมโยงธุรกิจโคเนื้อตลอดห่วงโซ่อุปทาน และยกระดับการเลี้ยงโคเนื้อสู่ตลาดฮาลาล” จัดโดย ธกส. มีผู้เข้าร่วมประชุมประมาณ 120 คน มี ณ โรงแรมชฎา มีสาระสำคัญ ดังต่อไปนี้
1.สถานการณ์การเลี้ยงโคเนื้อในจังหวัดนครศรีธรรมราช โดย เจ้าหน้าที่สำนักงานปศุสัตว์จังหวัดนครศรีธรรมราช สรุปว่า “ นครศรีธรรมราช มีเกษตรกรขึ้นทะเบียนเลี้ยงโคประมาณ 38,000 ราย จำนวนโคประมาณ 200,000 ตัว อำเภอที่เลี้ยงโคมากที่สุดได้แก่ อ.หัวไทร สายพันธุ์โคส่วนใหญ่ ได้แก่โคพื้นเมือง และกำลังเปลี่ยนผ่านไปสู่โคสายพันธุ์ลูกผสม ทั้งบราห์มัน ชาร์โรเลย์ แองกัส วากิว เป็นต้น
คนนครกินเนื้อโคเฉลี่ยคนละ 3.19 กิโลกรัม ต่อคน ต่อปี แต่นครศรีธรรมราช ไม่มีโรงเชือดที่มีคุณภาพมาตรฐานเลย สักโรงเดียว ส่วนใหญ่เชือดกันแบบเถื่อนๆ ผิดกฎหมาย มีการเสนอให้จัดตั้งโรงเชือดได้คุณภาพ มาตรฐานมานานแต่ยังไม่ประสบความสำเร็จ
ตลาดโคในนครศรีธรรมราช ผู้ค้าคือ “รถรั้ว” ตระเวณซื้อทั้งจังหวัด ราคาในขณะนี้ (กุมภาพันธ์ 2568)ประมาณกิโลกรัมละ 50-60 บาท ราคาโคขุน สายพันธุ์ลูกผสม ราคา ประมาณ 60-65 บาท ผู้เข้าร่วมประชุม ให้ข้อมูลว่า “ โคเนื้อมีชิวิตส่งออกไปขายมาเลเซีย แบบไม่ถูกกฎหมายมานาน และส่งกลับชิ้นเนื้อมาขายให้ไทย” ( แต่กลไกของราชการไทย ไม่ทราบ ) และขณะนี้ มีเนื้อนำเข้าเสรีมาจากประเทศออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ มาจำหน่ายในประเทศไทย ตามข้อตกลง FTA และมีการนำเข้าโคมีชีวิตจากผ่านชายแดน ประเทศเพื่อนบ้าน เข้ามาตลอดเวลา ส่งผลให้ราคาโคมีชิวิตของไทยและภาคใต้ ราคาตกลงอย่างต่อเนื่อง
โครงการโคเนื้อสร้างชาติ ให้เกษตรกรกู้ซื้อโคมาขุน เงินกู้ อัตราดอกเบี้ยต่ำล้านละ 100 บาท ในปี 2565-2566 ผู้เลี้ยงในโครงการประสบสภาวะขาดทุน ราคาโคมีชีวิตตกต่ำ ขณะที่ราคาอาหารสัตว์ คงตัวและสูงขึ้น
ที่ประชุมเสนอให้จัดตั้งเครือข่ายและคณะยุทธศาสตร์โคเนื้อในจังหวัดนครศรีธรรมราช อย่างเป็นทางการ จังหวัดนครศรีฯ มีคำสั่งแต่งตั้งมาประมาณปีกว่าแล้ว แต่ยังไม่มีการเชิญประชุมสักครั้ง สำนักงานปศุสัตว์ จังหวัดนครศรีธรรมราช เสนอในที่ประชุมว่า ในส่วนสำนักงานปศุสัตว์จังหวัดนครศรีฯ จะเชิญเกษตรกรผู้เลี้ยงโคจำนวน 35 คนมาร่วมประชุม ภายในเดือนมีนาคม 2568 นี้
สำหรับข้อมูลจากฝายกรมปศุสัตว์ ที่นำเสนอในที่ประชุม ผู้เข้าร่วมประชุมส่วนหนึ่งอภิปรายว่า “เชื่อถือไม่ได้ ไม่ตรงกับความจริง ให้กรมฯไปทบกวน แก้ไขข้อมูล”
2.ทิศทาง-อนาคตของเกษตรผู้เลี้ยงโคขุน ที่ประชุมและนักวิชาการผู้เข้าร่วมให้ข้อมูล และมีข้อเสนอ ดังนี้
2.1 ให้รัฐกำกับบริหารอย่าปล่อยให้โคจากต่างประเทศเข้ามาอย่างผิดกฏหมาย
2.2 พัฒนาสายพันธุ์ให้ตรงกับความต้องการของตลาด เช่น สายพันธุ์วากิว แองกัส ชาร์โรเลย์ และ
สายพันธุ์ที่ขุนแล้ว มีไขมันแทรก จะเพมาะสมกับตลาดมากกว่าสายพันธุ์เนื้อแดง
2.3 จัดบริหารห่วงโซ่อุปทานแบบครบวงจร ต้นน้ำ กลางน้ำ ปลายน้ำ แบบที่เกษตรกรผู้เลี้ยงโคขุนหลาย ร่ายในจังหวัดพัทลุง พังงา นครศรีธรรมราช เริ่มทำแล้ว ( อ.ท่าศาลา แบบเลี้ยงเอง ส่งไปแปรรูปที่โรงเชือดมาตรฐาน ( หนองจอก กรุงเทพฯ) แล้วนำชิ้นเนื้อกลับมาขายเอง เปิดเขียง เปิดหน้าร้าน เปิดร้านอาหารขายเอง ในพื้นที่ )
2.4 ลดต้นทุนการผลิต โดยใช้เศษเหลือจากอุตสาหกรรมปาล์มน้ำมัน ใบปาล์มบด หมัก มันสำปะหลัง
หญ้าหมัก เป็นการลดต้นทุน ( คนเลี้ยงโคส่วนใหญ่ ทำกันอยู่แล้ว - ข้อมูลจาก อ.โอภาส พิมพา
วิทยากร )
2.5 พัฒนามูลโค ให้เป็นปุ๋ยหมักมาตรฐาน ขณะนี้ราคามูลโคกระสอบละ 40 บาท ( ราคามูลโคไม่เคยตกต่ำ )
2.6 สร้างโรงเชือดกลาง ที่มีคุณภาพ มาตรฐาน ได้รับทุกมาตรฐาน รวมทั้ง “ฮาลาล” ตั้งในชุมชนมุสลิม ในจังหวัดนครศรีธรรมราช พื้นที่ที่ไม่ละเมิดกฎหมายผังเมือง หรือนอกพื้นที่ชุมชนมุสลิมก็ได้ แต่ดำเนินาการให้ถูกต้องตามหลักการ ฮาลาล ตามระบบ ภายใต้การกำกับดูแลของคณะกรรมการฮาลาลจังหวัด อย่างเข้มงวด ให้ผู้บริโภคทุกศาสนายอมรับ ทั้งในและต่างประเทศ
2.7 การสร้างเครือข่ายเกษตรกรโคเนื้อ ทั้งในระดับจังหวัด ระดับภาค และระดับประเทศ ทำการตลาดในประเทศไทยก่อน ( คนไทย กินเนื้อไทย) รณรงค์ ให้คนไทยยอมรับเนื้อไทย (จากฟาร์มโคขุน)
3.ระบบการบริหารจัดการแพลตฟอร์มรองรับการบริหารแบบครบห่วงโซ่อุปทาน โดยวิทยากรจาก มหาวิทยาลับมหาสารคาม และเครือข่ายนักวิชาการ 4 มหาวิทยาลัยในภาคใต้ นำเสนอแพลตฟอร์ม “เซียนวัว” รองรับระบบการพัฒนาตั้งต้นน้ำ กลางน้ำ ปลายน้ำ ครบวงจร มีนักวิชาการด้านการแปรรูปโคเนื้อเข้ามาร่วมในโครงการฯ แพลตฟอร์ม “เซียนวัว” จะสร้างตลาดขายล่วงหน้าด้วย
การนำแพลตฟอร์ม “เซียนวัว” มาใช้ในทุกฟาร์มโคขุน จะทำให้ระบบการบริหารจัดการห่วงโซ่อุปทานโคเนื้อของเครือข่ายเกษตรกรโคเนื้อ ประสบความสำเร็จได้อย่างเป็นรูปธรรม ฐานข้อมูลของแพลตฟอร์ม นำไปใช้ออกแบบนโยบาย ออกแบบการผลิต การตลาด การสร้างและพัฒนาสายพันธุ์ที่เป็นอัตลักษณ์ อย่างที่ดำเนินมาตลอด 20 ปี ของสหกรณการเกษตรหนองสูง จำกัด จังหวัดมุกดาหาร ( พันธุ์แบลคมุกดา ) ที่เสนอในที่ประชุม
“ผู้เขียน” ในนาม “สมาคมการค้าเกษตรกรและห่วงโซ่อุปทานเกษตรกรรมไทย “ ( สกอท.) ทดลองใช้แพลตฟอร์ม “เซียนวัว” นำเข้าข้อมูล ของเขาพังไกรฟาร์ม ของ “ละม้าย เสนขวัญแก้ว ตำบลเขาพังไกร อำเภอหัวไทร จังหวัดนครศรีธรรมราช เมื่อวันที่ 12 กุมภาพันธ์ 2568 พบว่าใช้งานไม่ยาก และมีประโยชน์มาก ต่อไปเราสามารถ “ขายโค พร้อมกับขายข้อมูลโคที่สมบูรณ์” และวางแผนนำมาบูรณาการกับแอป “ประมูลสินค้าเกษตร ANT Line @ant-online ในอนาคต โดยวางแผนดำเนินการ “นำร่อง” นำเข้าข้อมูลโคขุน สายพันธุ์บราห์มัน จำนวน 23 ตัว ให้แล้วเสร็จในเดือนกุมภาพันธ์ 2568 นี้ โดยการสนับสนุนจากทีมนักวิชาการ ผู้บริหารแพลตฟอร์ม “เซียนวัว” 4 มหาวิทยาลัยในภาคใต้ ต่อไป
ขอบพระคุณ ธกส. ที่จัดการประชุมวันนี้ และนำ “ของแท้” การบริหารจัดการครบห่วงโซ่อุปทานเกษตรกรรม มานำเสนอเป็นกรณีศึกษา จากสหกรณ์การเกษตรหนองสูง จำกัด จังหวัดมุกดาหาร ให้ผู้เข้าร่วมประชุม ลูกค้า ธกส. และชาวโคบาล จาก นครศรีธรรมราช สุราษฎร์ธานี พัทลุง พังงา ได้เรียนรู้และนำมาประยุกต์ใช้ ต่อไป
สมาคมการค้าเกษตรกรฯ โดยแกนนำกลุ่มเลี้ยงโคขุน สมาชิกสมาคมการค้าฯ ยินดีเข้าร่วมเป็นหนึ่งในพลังการขับเคลื่อนการพัฒนาห่วงโซ่อุปทาน “โคขุน” ในภาคใต้ และเชื่อมโยงกับสมาชิกสมาคมการค้าฯ ที่มีอยู่ทั่วประเทศ เพื่อให้ห่วงโซ่อุปทานเกษตรกรรมไทย บริหารจัดการโดยเครือข่ายเกษตรกรเป็นหลัก ภายใต้การสนับสนุนของ ธกส. และทุกภาคีการพัฒนาทั้งภาครัฐและเอกชน โดยใช้ “แลพตฟอร์ม เซียนวัว ที่ได้เรียนรู้ในครั้งนี้ มาบูรณาการกับแพลตฟอร์ม www.konnthai.com ของ บ.SE ปากพนัง (วิสาหกิจเพื่อสังคมเกษตรกรลุ่มน้ำปากพนัง จำกัด) สมาชิกของสมาคมการค้าเกษตรกรฯ หรือ สกอท.ต่อไป
13 กุมภาพันธ์ 2568