รายละเอียดข่าว

ตลาดสินค้าเกษตรไทย แบบวัดดวง

สินค้าเกษตรไทย..อยู่ในระบบตลาดแบบ”วัดดวง” ( Risk Facing Marketing )

ก่อหนี้สินครัวเรือนเกษตรกร คุณภาพชีวิตตกต่ำกันทั้งแผ่นดิน ?

                                                                                                         ณรงค์ คงมาก

                                                        คณะผู้ก่อตั้งสมาคมการค้าเกษตรกรและห่วงโซ่อุปทานเกษตรกรรมไทย

           ในวงการธุรกิจเกษตรกรรมไทย เกษตรกรไทยเกือบทุกสาขาอาชีพ  ส่วนใหญ่ไม่สามารถบอกได้ว่า  พืชผักผลไม้ ประมง ปศุสัตว์ ที่ปลูกวันนี้  ที่ออกดอกวันนี้ นับไปอีก 4-5 เดือน ถึงวันที่เก็บเกี่ยวผลผลิต ราคาขายหน้าสวน  หรือราคาที่นำไปส่งขายลาด ขายโรงคัดบรรจุ “ล้ง” ขายโรงงานอุตสาหกรรมแปรรูป  หรือขายตลาดกลางต่างๆ ราคาจะเป้นเท่าไร?  ขาดทุนหรือกำไร?  ยกเว้น  การขายให้ห้างสรรพสินค้าแบบตกลงราคาล่วงหน้า ขายแบบเครดิต 7-15 วัน หรือนานกว่า   ผู้ซื้อแบบห้างสรรพสินค้า  นำสินค้าที่ซื้อเชื่อจากเกษตรกรไปขายเงินสด  หากต้องขายทุกวัน หรือหลายวันในแต่ละรอบ ต้องรอหลายวันจนกว่าจะได้รับเงิน ต้องใช้ทุนจำนวนมาก ซึ่งยากที่เกษตรกรทั่วไปจะปฏิบัติได้ 

        ระบบและรูปแบบธุรกิจเกษตรกรรมในไทยและทั่วโลก จึงเป็น “เกษตรกรรมแบบวัดดวง”  ในขณะที่ต้นทุนการผลิตและค่าปัจจัยการผลิต ค่าแรงงาน ของครัวเรือนเกษตรกรนั้น  ค่าใช้จ่ายครัวเรือนเป็นแบบคงที่ รู้ล่วงหน้า มากกว่าร้อยละ 90  โดยเฉพาะค่าปัจจัยการผลิตนั้น ราคามีโอกาส  “ขึ้นมากกว่าลง”

     รายรับ รายได้  เกษตรกรผู้ผลิต คาดการณ์ไม่ได้ ควบคุม กำกับไม่ได้   “ตั้งราคา เสนอราคาขายที่ต้องมีส่วนต่าง เท่านั้น เท่านี้ เพื่อให้ “อยู่ได้” ทำไม่ได้” ขณะที่ผู้ประกอบการใน ห่วงโซ่อุปทาน  ที่เหนือจากเกษตรกรขึ้นไป  กลางน้ำ ( โรงคัดบรรจุ คัดแยก)  พ่อค้าคนกลาง  และปลายน้ำ ( การแปรรูป) นั้น  มีโอกาส กำหนดราคาขาย มีโอกาสกำหนดรายรับ แบบล่วงหน้าให้ “อยู่ได้และรับส่วนต่างที่มั่นคง แน่อน ” ได้มากกว่าเกษตรกร  อย่างไรก็ตาม ผู้ประกอบการในห่วงโซ่อุปทานก็มีความเสี่ยงเช่นกัน ในบริบทที่แตกต่างกันไป แต่โอกาส “แก้ตัว-เอาคืน” เมื่อบางล็อต บางช่วงเวลา ขาดทุน นั้น   ฝ่ายกลางน้ำ ปลายน้ำ  ยังมีโอกาสฟื้นตัวหรือ “เอาคืน”สูงกว่าเกษตรกร ในภาพรวม

      เกษตรกรฝ่าย”ต้นน้ำ” ต้องเผชิญกับความเสี่ยงด้านสภาพดินฟ้าอากาศ ที่นับวันจะแปรปรวนมากขึ้น  ระบบประกันภัยความเสี่ยงจากภัยพิบัติต่างๆ เพื่อ “เอาทุนคืน” ก็แสนยากเย็นและมีน้อยมาก   ผลลัพธ์ที่เกิดจาก”ระบบเกษตร การตลาดวัดดวง”  คือ “หนี้สินครัวเรือนเกษตรกรเต็มแผ่นดิน ”  เพราะรายรับสุทธิน้อยกว่ารายจายสุทธิ

        เกษตรกรผู้ผลิ ผู้ประกอบวิสาหกิจกลางน้ำและปลายน้ำ ซึ่งเชื่อมโยงสัมพันธ์อยู่ในวงการตลาดสินค้าเกษตรส่งออก ต้องแข่งขันกับ “คู่แข่งทางการค้าทั้งภาคเอกชน ภาครัฐของต่างประเทศ(การอุดหนุนระบบห่วงโซ่อุปทานเกษตรกรรมดีกว่าของไทย)   ความเสี่ยงด้านการเงิน  รูปแบบการชำระเงินค่าสินค้า   การพัฒนานวัตกรรมการบริหารการผลิต  ( ระบบ ERP – Enterprise Resource Planning )  และการสื่อสารด้านการตลาดด้วยดิจิทัลแพลตฟอร์มทันสมัย”

       สมาคมการค้าเกษตรกรและห่วงโซ่อุปทานเกษตรกรรมไทย  จึงริเริ่มจัดตั้งขึ้นจากการรวมตัวเล็กๆ ของกลุ่มเกษตรกร กลุ่มโรงคัดบรรจุ  กลุ่มผู้ส่งออก ...จากหลายภูมิภาคในประเทศไทย  เพื่อให้ทั้ง 3 กลุ่มวิสาหกิจ (เกษตรกร   ฝ่ายขาย ฝ่ายโรงคัดบรรจุ ฝ่ายแปรรูป ฝ่ายส่งออก )ในห่วงโซ่อุปทานเกษตรรม ร่วมกันสร้างมิติความสัมพันธ์ใหม่   และมารวมตัว อยู่ในองค์กรเดียวกัน คือ “สมาคมการค้า”  ( ตาม พรบ.สมาคมการค้า 2509 )

      # เอื้อเฟื้อแบ่งปัน  บริหารความสัมพันธ์ใหม่ สร้างความร่วมมือ สร้างดิจิทัลแพลตฟอร์ม และพัฒนาระบบการเงินใหม่แบบ “เอสโควร์”

    # “ลด ละ  เลิก” รูปแบบและระบบตลาด”แบบวัดดวง”ของสินค้าเกษตรทั้งสดและผลิตภัณฑ์แปรรูป  ให้กับสมาชิกสมาคม ทั้ง 3 กลุ่มวิสาหกิจในห่วงโซ่อุปทาน ให้ “อยู่ได้” เสมอภาคกัน 

    # วิสาหกิจในห่วงโซ่อุปทานเกษตรกรรมไทย สามารถแข่งขันกับคู่แข่งทางการค้าสินค้าอาหารได้ทั่วโลก ในฐานะไทยเป็นประเทศหนึ่งที่เป็นแหล่งผลิตอาหารให้กับคนทั้งโลก

   # คุณภาพชีวิตของเกษตรกรไทย ฝ่ายต้นน้ำผู้ผลิตในห่วงโซ่อุปทานการผลิตอาหารป้อนสู่ผู้บริโภคทั่วโลก ต้องไม่ตกอยู่ในชะตากรรมและวิถี “แบบวัดดวง” เฉกเช่นปัจจุบันนี้ 

                                                  ……………………………………